3 กฏเหล็กเพื่อผิวหน้าที่ดี
ผิวหน้าสุขภาพดี แข็งแรง ไม่มีสิวหรือริ้วรอย ล้วนเป็นสภาพผิวในอุดมคติของใครหลายคน แต่เชื่อไหมว่าบางครั้งเรามักจะกระโดดข้ามสิ่งสำคัญที่สุดที่ผิวหน้าต้องการ แล้วไปเฟ้นหาสารพัดวิธีบำรุงผิวสุดอลังการไม่ว่าจะเป็นทรีทเม้นต์ เลเซอร์ ฯลฯ(ซึ่งไม่ใช่ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ดีนะ) แต่ความจริงแล้วผิวหน้าของเราต้องการการดูแลขั้นพื้นฐานที่เบสิคสุดๆ ไม่ต้องพิศดาร และสามารถทำได้ด้วยตัวเองง่ายๆ เพียง 3 ขั้นตอนเท่านั้น
ทำความสะอาดดีมีชัยไปกว่าครึ่ง
เชื่อไม๊ว่าการทำความสะอาดผิวเป็นหนึ่งในขั้นตอนที่หลายคนละเลย ไม่ให้ความสำคัญเท่าไหร่นัก และไปเน้นที่ขั้นตอนการบำรุงซะมากกว่า แต่ลองคิดดูนะครับว่าในแต่ละวันผิวหน้าของเราต้องเผชิญมลภาวะ ,แสงแดด, ความร้อน, เมคอัพ, สิ่งสกปรกมากแค่ไหนในหนึ่งวัน และหากคุณทำความสะอาดผิวไม่ดีหละก็สิ่งสกปรกเหล่านั้นจะเข้าไปทับถม อุดตันรูปขุมขน และเมื่อมันผนวกกับแบคทีเรียแล้วหละก็ เตรียมรับมือกับมหกรรม "สิว" ที่จะพร้อมใจกันขึ้นอย่างไม่ได้นัดหมายได้เลย
การทำความสะอาดผิวที่เหมาะสมมีหลักง่ายๆ อยู่ 3 อย่าง
- ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน : ถึงแม้จะเป็นขั้นตอนที่เรียกว่า "ทำความสะอาด" แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องใช้สารทำความสะอาดที่รุนแรง เพราะถึงจะเป็นขั้นตอนที่ผลิตภัณฑ์อยู่บนหน้าเราไม่นาน แต่หากใช้สารทำความสะอาดที่รุนแรงมากเกินไป อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองกับผิวได้
- ทำความสะอาดอย่างอ่อนโยน : นอกจากผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนแล้ว แรงที่เราใช้ในการทำความสะอาดผิวก็เป็นอีกปัจจัยที่มีความสำคัญ บูมแนะนำให้ลองหาตาข่ายตีฟองมาใช้กับผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า เพื่อให้ได้ฟองที่นุ่ม ละมุน เพราะเจ้าฟองนุ่มๆ นี่แหละที่จะเป็นเสมือนตัวรองรับแรงจากนิ้วมือ กับ ผิวหน้าที่มากเกินไป
- ล้างแล้วไม่แห้ง ตึง : หลายคนชอบความรู้สึกหลังล้างหน้าที่เหมือนการใช้ผลิตภัณฑ์ล้างจาน คือ สะอาด หมดจด ไม่ทิ้งคราบ ไม่เหลือความมัน ซึ่งหน้าเรากับจานมันไม่เหมือนกันนะเธอ ปล่อยให้ผิวเหลือความชุ่มชื้นไว้บ้าง ไม่ต้องล้างแล้วมีเสียงเอี๊ยด! ขนาดนั้น
ความชุ่มชื้น คือ ความต้องการของผิวทุกประเภท
ไม่ว่าคุณจะมีสภาพผิวมัน ผิวแห้ง ผิวผสม หรือธรรมดา ความชุ่มชื้นนับเป็นการบำรุงขั้นพื้นฐานที่ทุกสภาพผิวต้องการ เพราะในระหว่างวันผิวจะค่อยๆ สูญเสียความชุ่มชื้นไปเรื่อยๆ (แม้จะมีความมันปรากฏขึ้นบนผิว) ดังนั้น อย่าลืมที่จะมอบความชุ่มชื้นให้ผิวอย่างเหมาะสมและสม่ำเสมอ
ลักษณะผลิตภัณฑ์ให้ความชุ่มชื้นที่แนะนำสำหรับผิวแต่ละประเภท
- ผิวมัน : หากคุณมีสภาพผิวมัน และไม่ชอบความรู้สึกเหนอะหนะของครีม หรือบาล์ม แนะนำให้ลองใช้ผลิตภัณฑ์รูปแบบ โลชั่น เจล หรืออาจใช้เป็น เซรั่ม+กันแดดที่บางเบา ก็เวิร์คอยู่นะครับ
- ผิวแห้ง : สภาพผิวแห้งไม่ค่อยมีปัญหากับการใช้ผลิตภัณฑ์รูปแบบครีม บาล์ม หรือเจล เพราะด้วยสภาพผิวที่ต้องขาดความชุ่มชื้นอยู่แล้ว แต่อาจต้องเลือกที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ด้วยนะครับ
- ผิวธรรมดา : ผลิตภัณฑ์รูปแบบเจล ครีม โลชั่น ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจที่สำคัญคือคุณต้องมั่นสั่งเกตุสภาพผิวในระหว่างวัน เพื่อปรับ-ลด และเลือกรูปแบบผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับผิวของคุณ
- ผิวผสม : เป็นสภาพผิวที่มีความซับซ้อน ซ่อนเงื่อน เพื่อนทรยศเลยก็ว่าได้ เพราะนางต้องการการดูแลที่แตกต่างกันในแต่ละส่วน
- T-Zone : เป็นส่วนที่มีความมันมาก อาจใช้เป็นผลิตภัณฑ์รูปแบบเซรั่ม เจล โลชั่นเพื่อหลีกเลี่ยงความมันส่วนเกิน
- U-Zone : ส่วนนี้จะค่อนข้างแห้งกว่าส่วนอื่นๆ บนใบหน้า จึงแนะนำให้ให้ใช้เป็นผลิตภัณฑ์รูปแบบเจล หรือครีมแทน
หมายเหตุ : ทั้งนี้การเลือกผลิตภัณฑ์ควรคำนึงถึงสภาพผิว สภาพอากาศ และกิจกรรมในแต่ละวันเพื่อความเหมาะสม รักษาสมดุล และความชุ่มชื้นบนผิวได้ดีที่สุด
กันแดด ไอเท็มที่ขาดไม่ได้
รังสียูวีไม่ใช่มิตรที่ดีกับผิวหน้าของคุณ ยิ่งเป็นประเทศไทยที่เสมือนมีพระอาทิตย์อยู่บนหัวแล้วหละก็ "กันแดด" คือไอเท็มที่คุณจะขาดไปไม่ได้เลย เพราะรังสียูวีนอกจากจะทำให้ผิวคล้ำเสียแล้ว ยังก่อให้เกิดริ้วร้อย และที่น่ากลัวที่สุดคือ มะเร็งผิวหนัง
โดยปกติเซลล์สร้างเม็ดสีผิวซึ่งอยู่ในชั้นผิวหนังชั้นนอกจะสร้างเม็ดสีเมลานิน ทำให้แต่ละคนแต่ละเผ่าพันธุ์มีสีผิวที่แตกต่างกัน คนที่มีสีผิวเข้มเกิดจากการที่มีเม็ดสีเมลานินมาก ส่วนคนผิวขาวก็เกิดจากการที่มีเม็ดสีเมลานินน้อย ความสำคัญของเม็ดสีเมลานินคือมันทำหน้าที่คล้ายแผ่นฟิล์มกรองแสงที่คอยคุ้มครองปกป้องผิวหนังชั้นในจากรังสียูวี โดยเจ้าเม็ดสีเมลานินจะดูดซับรังสียูวีเอาไว้และเปลี่ยนให้เป็นความร้อน ไม่ปล่อยให้รังสียูวีสามารถทะลุทะลวงผ่านไปทำลายเซลล์ผิวหนังชั้นในได้ อันอาจจะนำไปสู่การเกิดการเปลี่ยนแปลงของดีเอ็นเอและกลายเป็นมะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนม่าในที่สุด ถึงแม้คนไทยจะเป็นมะเร็งผิวหนังกันไม่มากก็อย่าประมาท ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดและปกป้องผิวจากรังสียูวี โดยการใช้กันแดดที่มีค่า SPF และ PA ที่เหมาะสมกับระยะเวลาและกิจกรรมในแต่ละวัน
SPF (Sun Protection Factor)
เป็นค่าการป้องกัน UVB ที่บอกให้ทราบว่า เราจะอยู่กลางแสงแดดได้นานเท่าใหร่ โดยที่ผิวของเราไม่ไหม้ โดยปกติแล้วผิวของแต่ละคนจะมีความสามารถในการทดต่อแสงแดดได้ไม่เท่ากัน (สังเกตุโดยลองไม่ทากันแดด แล้วออกไปเดินกลางแจ้ง ระยะเวลาที่ผลิตเปลี่ยนจากสีปกติเป็นแดง แสบ นั่นแหละคือระยะเวลาที่คุณสามารถทนได้)
ซึ่งหลักการคำนวณง่ายๆ คือ ถ้าคุณทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF15 และสามารถทนต่อแสงแดดได้ 10 นาทีโดยไม่แดง สามารถคำนวณคร่าวๆได้ดังนี้ (SPF)10 x (Min)15 = 150 นาที หรือสามารถปกป้องผิวคุณจากแสงแดดได้ประมาณ 2.30 ชั่วโมงนั่นเอง
ค่า SPF เท่ากับ 2 จะดูดซับ UVB ได้ 50%
ค่า SPF เท่ากับ 4 จะดูดซับ UVB ได้ 75%
ค่า SPF เท่ากับ 8 จะดูดซับ UVB ได้ 87.5%
ค่า SPF เท่ากับ 15 จะดูดซับ UVB ได้ 93.3%
ค่า SPF เท่ากับ 20 จะดูดซับ UVB ได้ 95%
ค่า SPF เท่ากับ 30 จะดูดซับ UVB ได้ 96.7%
ค่า SPF เท่ากับ 45 จะดูดซับ UVB ได้ 97.8%
ค่า SPF เท่ากับ 50 จะดูดซับ UVB ได้ 98%
จะเห็นว่า ค่า SPF ที่สูงมาก ๆ นั้นก็ไม่จำเป็นต่อความต้องการของเรา ไม่ว่าจะใช้ SPF30 หรือ SPF100 ก็ให้ผลแทบจะไม่แตกต่างกัน แต่ถึงอย่างไรแล้ว เมื่อสารกันแดดสัมผัสเหงื่อ น้ำ แสงแดด ฯลฯ สารกันแดดก็จะเสื่อมประสิทธิภาพลงทำให้เราต้องทาซ้ำ แถมยังต้องเสี่ยงกับอาการแพ้และความเหนอะหนะจากสารกันแดดที่มีค่า SPF สูงมาก ๆ อีกด้วย
PA (Protection grade of UVA)
เป็นค่าการป้องกัน UVA ริเริ่มโดยสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องสำอางประเทศญี่ปุ่นในปี ค.ศ. 2006 โดยมีประสิทธิภาพดังต่อไปนี้
PA+ หมายถึง มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA เริ่มต้น
PA++ หมายถึง มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA กลาง
PA+++ หมายถึง มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA สูง
PA++++ หมายถึง มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA สูงสุด
หวังว่า 3 กฏเหล็กเพื่อผิวหน้าที่ดี จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ไม่มากก็น้อย หากชอบบทความแบบนี้บูมฝากกดแชร์ และติดตาม Blog Ahtee's Styleจะได้ไม่พลาดเนื้อหาใหม่นะครับ สำหรับวันนี้สวัสดีครับ
0 ความคิดเห็น